วันเสาร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2553

ประวัติส่วนตัว

ประวัติส่วนตัว
ณ โรงพยาบาลมหาราช จังหวัดนครราชสีมา เวลา 21.15 น.
ของวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2534 ฟ้าได้ประทานสักขีพยานแห่งความรัก
ของนายสุชิน รักแดน และนางผ่อนศรี รักแดน เป็นเด็กเพศหญิงผู้หนึ่ง
นามว่า สุนิศา รักแดน แต่ในอีก สามวันต่อมา เด็กหญิงผู้นี้จึงได้รับนามใหม่อันไพเราะด้วยการเลือกสรรของผู้เป็นบิดา นามว่า เด็กหญิงยลวิสุทธ์ รักแดน ซึ่งแปลด้วยถ้อยคำที่วิจิตรแล้วว่า มองแล้วสะอาดบริสุทธิ์ หากแต่เป็นความบริสุทธิ์ที่จิตใจ เด็กหญิงผู้นี่นามเล่นว่า แก้มยุ้ย เธออาศัยอยู่บ้านเลขที่ 262 หมู่ 2 ต. ด่านขุนทด อ.ด่านขุนทด
จ.นครราชสีมา 30210 เธอผู้นี้อยู่ในการเลี้ยงดูจากผู้เป็นยาย เนื่องจากมารดาและบิดาต้องเข้าไปทำงานที่ในตัวเมืองอยู่ที่สำนักงานชลประทาน จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเธอย่างเข้าสู่วัยแห่งการเรียนรู้ คืออายุ 4 ปีตามเกณฑ์ เธอได้ศึกษาที่โรงเรียน ชลประทาน แต่เรียนได้เพียงหนึ่งอาทิตย์ ก็ได้ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนด่านขุนทด ในชั้นอนุบาล 1 ในปีแรกเธอต้องให้ญาติไปเฝ้าเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม (อิอิ เธอคงกลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น) แต่เหตุการณ์กลับตลปัทถ์ เมื่ออนุบาลสอง เธอได้เข้าเรียนโดยไม่ต้องมีผู้มาดูแล เหมือนแต่ก่อน และหากเธอมาโรงเรียนสายเกิน 7.30 น. เธอจะร้องไห้ทันที เมื่อเข้าสู่วัยกำลังซน ชั้นประถม1คุณครุประจำชั้นคือ นางปราณี ดอกสันเทียะ ยลวิสุทธ์ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าชั้น มีเหตุการณ์การเป็นหัวหน้าที่ ยลวิสุทธ์ จดจำได้จนถึงทุกวันนี้คือ
ที่หน้าเสาธง คุณครูประกาศให้หัวหน้าชั้นทุกชั้นออกมา เพื่อแบ่งหน้าที่ทำความสะอาด แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ ยลวิสุทธ์ หัวหน้าชั้น ป. 1/2 ได้ไปขัดห้องน้ำ จากวันนั้น ยลวิสุทธ์ บอกกับตนเองว่าจะไม่เป็นผู้นำอีกต่อไป ในเทอมแรก ยลวิสุทธ์ สอบได้ที่ 6 ส่วนในเทอมที่สองยลวิสุทธ์ สอบได้ที่ 7 จากการเรียนคงเป็นนิมิตหมายอันดีว่ายลวิสุทธ์
เรียนดีม๊ากมาก ในชั้น ป. 2 อาจารย์ประจำชั้นคือ นางลำปาง ฉายชูวงศ์ เทอมแรกผลการเรียนได้ลำดับที่ไม่แตกต่างจาก ประถมหนึ่ง ในประถม 3 คุณครูปะจำชั้นเป็นคนเดิม ผลการศึกษาได้ลำดับที่ 5 ทั้งสองเทอม ในระดับชั้นนี้ยลวิสุทธ์ ได้รับความเกียจชังจากเพื่อนชายคนหนึ่ง เพราะยลวิสุทธ์ ฟ้องคุณครูว่ามันแกล้งเพื่อน แต่เพื่อความถูกต้อง
ยลวิสุทธ์ หาได้กลัวไม่ เนื่องจากฟ้องเก่งมาก ในประถม 4 คุณครูประจำคือ
นางสาวแจ่มจันทร์ รัตนพันธากุล ในระดับชั้นนี้ ยลวิสุทธ์ มีความกระตือรือร้นเป็นพิเศษเนื่องจากอิจเพื่อนที่ทำไม มันเก่งนักหนา ได้ที่ 1 ทุกปี ยลวิสุทธ์ปรึกษากับผู้เป็นมารดารว่าควรทำอย่างไรดี มารดาจึงบอกว่า อ่านข้อสอบท้ายบท ยลวิสุทธ์ทำตามที่มารดาบอก จึงทำให้ผลการเรียนจากการอ่านหนังสือครั้งนี้ได้ที่ 4 (เก่งสุดเท่านี้คะ) ได้รางวัลเป็น แหวนทอง หนึ่งสลึง ในชั้นประถมที่ 5/4 คุณครูประจำชั้นชื่อ
นางสาว สุรางค์ มากขุนทด ได้ผลการเรียน ที่2 และที่ 8 ในเทอมที่สอง น่านแนเห็นยังการเรียนแนวโน้มเป็นอย่างไร ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/4 นางปิยาณี ภู่มาก และนางสาวปิ่นเพชร ในชั้นประถมไม่มีใครไม่รู้จัก ยลวิสุทธ์ เนื่องจากเป็นคนที่อัธยาศัยดี พูดมากว่างั้น เมื่อวัยประถมลับเลือนไป วัยมัธยมก็เข้ามาแทนที่
ยลวิสุทธ์ สอบเข้าได้อยู่ห้องที่จัดว่าเป็นห้องเก่ง คือชั้นม. 1/6 ห้องหลังจัดว่าเก่งนะคะโรงเรียนนี้ อิอิ มีอาจารย์ สมทรง น้อยเจริญ เป็นอาจารย์ประจำชั้น วันที่ได้อยู่ที่ชั้นมัธยมทำให้ยลวิสุทธ์ มีแก๊ง ชื่อว่า เจ็ดสลึง คือ แก้มยุ้ย เหมี่ยว
ต่าย แจง แนน โซ่ เมย์ ในวัยนี้ทำให้เรารู้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของใครหลายคน ซึ่งเป็นช่วงหัวเรี้ยวหัวต่อ เพื่อนดีจะเตือนเรา เพื่อนที่ไม่ดีแต่ก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ก็จะชวนเราออกไปเที่ยวบ้าง สอนในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการของผู้ใหญ่ ในช่วงที่ดิฉันอยู่ชั้นม.3 เป็นการประเมินโรงเรียนในฝันครั้งแรก และในทางเดียวกัน เป็นโชคร้ายที่เกิดกับ ยลวิสุทธ์ เนื่องจากได้รับการตรวจที่โรงพยาบาล ค่ายสุรนารีว่าเป็น โรค SLE นอนโรงพยาบาล 28 วัน ในช่วงนั้นไม่ได้เรียน แต่ก็จบจาก ม.3 ด้วยเกรดเฉลี่ย 3.58
ด้วยความอนุเคราะห์ ขิงอาจารย์ และ เพื่อนๆที่ส่งงานให้ทำระหว่างอยู่โรงพยาบาล และเป็นเวลาเดียวกันกับที่ ยลวิสุทธ์ ต้องเข้าศึกษาในระดับที่สูงกว่าเดิม ยลวิสุทธ์ เข้าศึกษาชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ โรงเรียนมัธยมด่านขุนทด อาจารย์ รุ่งทิพย์ โด่งพิมาย เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ด้วยความที่ ยลวิสุทธ์ มีโรคประจำตัวซึ่งห้ามถูกแดด จึงมิได้ไปเข้าแถวที่หน้าเสาธง เหตุนี้จึงทำให้ต้องทำงานที่ฝ่ายปกครองช่วยอาจารย์ ทุกวันเห็นแต่ผู้ที่กระทำความผิดระเมิดกฎของโรงเรียน คงเป็นสาเหตุนี้ด้วยที่ทำให้ ยลวิสุทธ์ ต้องการจะทราบว่าเหตุใด เด็กเหล่านี้จึงต้องทำพฤติกรรมเช่นนี้ ดังนั้น จิตวิทยา เป็นคำตอบที่ดีที่สุด และบวกกับความต้องการทำให้อนาคตของชาติเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ อาชีพครูก็เป็นอีกทางเลือกที่ ยลวิสุทธ์ ต้องการทำในอนาคต ระหว่างที่ทำงานที่ห้องปกครองก็มีรุ่นพี่ที่ทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการนักเรียนมาประจำอยู่ที่ห้อง ทำให้ ยลวิสุทธ์ ได้รู้จักและมีเพื่อนรุ่นพี่เป็นครั้งแรก ในความแตกต่างที่มองเห็นคือ พี่ผู้ชายที่ทำหน้าที่ จะไม่เกี่ยงงอนกัน ผิดกับพี่ผู้หญิงที่ต้องทำหน้าที่ของทุกคนของใครของมันโดยไม่มีการที่จะรับผิดชอบแทนกัน จากการที่เห็นรุ่นพี่ทำงานปกครองอย่างนี้ทำให้ ยลวิสุทธ์ เกิดแรงบันดาลใจว่า เรา ต้องเป็นคณะกรรมการนักเรียนรุ่นให้ได้ จากนั้นเมื่อเวลาล่วงไปทำให้ ยลวิสุทธ์ ได้ก้าวมาอยู่ในระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ทำให้บทบาทหน้าที่เริ่มชัดเจนขึ้น การทำงานเริ่มมีหน้าที่มากขึ้น พวกเราชาว นักเรียน ม .5/2 ได้เริ่มวางแผนที่จะเตรียมตัวเป็นคณะกรรมการนักเรียน โดยมีการสนับสนุน
จากท่านอาจารย์ เมทินี รักบำเหน็จ ซึ่งเป็นอาจารย์ประจำชั้น ในตอนนั้น ในช่วงวัยนี้
ยลวิสุทธ์ ได้เริ่มคิดการศึกษาต่อในระดับอนาคต คือการเป็นครูแนะแนว เริ่มเด่นชัดขึ้น ในวัย มัธยมศึกษาปีที่ 6/2 โดยมีท่านอาจารย์ สายฝน สมพงศ์ เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา พวกเราได้ ได้ส่งตัวแทนเพื่อนสมัคร เป็นประธานนักเรียน โดยมีนักเรียนที่ห้องเราบางส่วนเป็นคณะกรรมการ และผลก็ออกมา พวกเราได้เป็นห้องแกนนำการบริหารโรงเรียน และมียลวิสุทธ์ ทำงานที่ฝ่ายปกครอง และฝ่ายวิชาการ การทำหน้าที่ในครั้งนั้น ทำให้ ยลวิสุทธ์ รู้ว่า การทำอะไรเพื่อส่วนรวมก็เป็นสิ่งที่สำคัญ หากสถานที่ใดขาดผู้นำแล้วไซร้ สถานที่นั้นย่อมไร้ความเจริญ และในวันหนึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ก็ได้เริ่มขึ้น เป็นช่วงที่ นักเรียน ชั้น ม. 6 ต้องสมัครโควตาตาม มหาวิทยาลัยที่รับสมัคร
ยลวิสุทธ์ ได้เลือก มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เป็นที่แรก และที่เดียว ในสาขา จิตวิทยา ระหว่างที่รอก็ได้มีการคัดเลือกน้องที่จะมาเป็นประธานรุ่นต่อไป หากแต่ชีวิตในวัยนั้นกำลังเป็นชีวิตที่อยู่ในช่วงเด็กตอนปลาย ผู้ใหญ่ตอนต้นมักจะอยากทำอะไรที่ให้ผู้คนเห็นว่าเราเก่ง เราดี เมื่อผลการคัดเลือดรอบโควตา ออกมา ยลวิสุทธ์ ก็ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ไปสัมภาษณ์ที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ในการมาเมืองแห่งการศึกษาครั้งแรกนั้นด้วยความตื่นเต้น และในใจคิดว่า นี่เรากำลังก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้วหรอ ช่วงเวลาของนักเรียนมัธยม ช่างผ่านไปเร็วเหลือเกิน เมื่อมาถึง พี่ๆต้อนรับอย่างอบอุ่น เรียกรวมที่หน้าตึก ไอที แล้วนั่งรอการสอบสัมภาษณ์ที่ห้อง ไอที 2 ในตอนนั้น
ยลวิสุทธ์ นั่งติดกับ เมทินี ที่มาจากจังหวัดอุดร และได้ขึ้นไปสอบสัมภาษณ์ที่ชั้น 6
การนั่งรอในครั้งนั้นช่างเป็นช่วงเวลาที่หัวใจเต้นไม่เป็นปกติ แต่ด้วยความต้องการที่จะมาศึกษาที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ทำให้ความตื่นเต้นหายไปเหลือเพียง
ความมั่นใจ ยลวิสุทธ์ ได้สอบสัมภาษณ์ โดยอาจารย์ พัฒนานุสรณ์ ในตอนนั้น ยลวิสุทธ์ เริ่มสังเกตเห็นว่าการเป็นนักจิตวิทยาต้อง สุขุม ดูคนให้รอบคอบ ดิฉันแอบมองอาจารย์ระหว่างที่อาจารย์ กำลังดูแฟ้ม อาจารย์ ให้ ยลวิสุทธ์ แนะนำตัว และถามว่า เล่าประวัติหลวงพ่อคูณให้ฟังหน่อย และมีคำถามที่ ยลวิสุทธ์ คิดว่า คำถามนี้ต้องเค้นความเป็นจิตวิทยาที่แอบแฟงอยู่ในตัวของแต่ละคนออกมา คำถามนั้นคือ หากเพื่อน ยลวิสุทธ์ ติดยาเสพติด ยลวิสุทธ์ จะบอกเพื่อนว่ายังไง ยลวิสุทธ์ก็บอกไปว่าก็จะแนะนำให้เห็นถึงผลเสียที่มันเกิดขึ้น และบอกเพื่อนว่ามันไม่ดีเลิกจะดีกว่า และคำสุดท้ายที่ทำให้
ยลวิสุทธ์ คิดถึงความหมายของมันคือ หากครูรับยลวิสุทธ์ ปรับปรุงวิชา ภาษาไทยนะ แล้วพวกเราทั้ง 4คนก็เดินออกจากห้องแห่งการตัดสินอนาคต หากแต่วันนั้น ยลวิสุทธ์ ไม่มีความมั่นใจเลยว่าตนเองจะได้เรียนในสาขาจิตวิทยาที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ เนื่องจากการตอบคำถามที่คิดว่าตนเอง ตอบได้ไม่ดี แต่แล้วผลก็ออกมา ยลวิสุทธ์ เป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ได้ก้าวเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ วันนั้นทั้งบ้านดีใจมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่ ยลวิสุทธ์ ไม่พอใจคือ คนส่วนมากมักจะ กล่าวว่ามหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นมหาลัยที่ไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ คงเป็นเพราะมหาวิทยาลัยของเราเทียบกับ มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ มหิดล และขอนแก่นไม่ได้ คำพูดนั้นทำให้ ยลวิสุทธ์ ต้องการที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่า ไม่ว่าสถาบันไหน ไม่สำคัญอยู่ที่ เมื่อคุณจบออกมาคุณสามารถทำงานของคุณได้ดีแค่ไหน นั้นมันจึงจะหมายถึง สถาบันที่บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แล้ว ไปเติบโตในที่ใหม่ของมันได้ดีแค่ไหนมากกว่า ใช่ที่มหาวิทยาลัยมหาสารคามเป็นมหาลัยที่เทียบมหาวิทยาลัยอื่นไม่ได้ แต่ยลวิสุทธ์ ก็รักเชิดชูในสถาบันที่ตนก้าวเข้ามา และพอใจอย่างยิ่งที่ได้เป็นเลือดสีเดียวกับเพื่อนๆที่ร่วมอุดมการณ์เดียวกันที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ และเป็นเลือดที่เข้มขึ้นทุกวันเนื่องจาก จิตวิทยา คือความเป็นเราเป็นพี่เป็นน้อง เป็นเพื่อน เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นดั่งคนในครอบครัว เดียวกัน วันแรกที่ก้าวเข้ามาในหอพัก ชวนชมก็ได้รับความอบอุ่นจาการต้อนรับของพี่หอและได้เจอเพื่อนร่วมห้องที่เป็น กัลยาณมิตรที่แท้จริง วันแรกที่ ยลวิสุทธ์ก้าวเข้าเรียน วันนั้นไม่ได้อะไรมากเพียงแต่สังเกตบุคลิกอาจารย์ที่สอนเท่านั้นหวังเพียงปรับตัวให้เข้ากับอาจารย์ได้ และสิ่งยลวิสุทธ์ทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะอาจารย์อารยา ให้สังเกตอาจารย์แต่ละท่านไว้เพราะ มันก็เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญของนักจิตวิทยา คือ รู้จักสังเกต การเรียนก็สนุกสนาน เพราะยลวิสุทธ์ คิดว่า เหมือนกับเป็นสิ่งที่ เรียนรู้อย่างเข้าใจมากกว่าการท่องจำ มีสิ่งหนึ่งที่ ยลวิสุทธ์ รอคอยมาได้แก่ การได้ใส่เสื้อกราว Psychology นั่งให้คำปรึกษา มันเป็นสิ่งที่ ยลวิสุทธ์
คิดว่า เพียงแค่เราพูดไม่กี่คำหากแต่ทำให้คนสบายใจได้ คนคนนั้นก็ย่อมมีกำลัง ที่จะทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไป เฉกเช่น กายป่วยหมอยังต้องให้ผู้ป่วยเกิดกำลังใจดีก่อนอย่างแรกจึงทำให้ร่างกายดีตามไปด้วย การก้าวเข้ามาอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยที่ไร้ซึ่งการดุแลของครอบครัว ผู้เป็นแม่ย่อมห่วง ยลวิสุทธ์ เป็นธรรมดาและต้องห่วงเป็นสองเท่า คือ
ยลวิสุทธ์ มีโรคประจำตัวที่ยากต่อการใช้ชีวิตและการทำกิจกรรม หากแต่ ยลวิสุทธ์ ก็พยายามทำให้ผู้เป็นแม่เห็นว่า การมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเนื่องจากเพื่อที่ ยลวิสุทธ์ หวังให้เพียงว่าการมีความสำเร็จกลับไปฝากแม่ที่บ้าน เพราะในใจ ยลวิสุทธ์ คิดเสมอว่า เราเป็นลูกสาวคนเดียวเป็นหลานคนสุดท้องของครอบครัว ที่ผูกพันธ์อยู่กับครอบครัวมามากกว่าลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ ป้าลุงพี่ๆ ก็จะได้ดูแลมากเป็นพิเศษ ในทุกๆเรื่อง เราต้องมาเรียนในระดับมหาวิทยาลัยเพื่อให้แม่ ปู่ ย่า ลุง ป้า อา พี่ๆ ได้มองเห็นอนาคตที่ดีของ ยลวิสุทธ์ ซึ่งเป็น ความสำเร็จที่บุพการีทุกคนต้องการมองเห็น และเพื่อให้แม่ของยลวิสุทธ์เห็นว่า ถึงแม้ว่าเป็นโรคประจำตัว ลูกสาวคนเดียวคนนี้ก็จะทำให้ได้ เพื่อแม่ ในใจ ยลวิสุทธ์ คิดตลอดว่าเราเป็นลูกคนเดียวต้องเป็นที่พึ่งของแม่ให้ได้ หากเราไม่ทำความสำเร็จนี้แล้วใครละที่จะมาทำให้แม่ของเรา แต่ความคิดของ
ยลวิสุทธ์ กลับตรงกับข้าม กับทางครอบครัวที่พูดไว้ว่า ไม่ต้องเรียนก็ได้ ขอให้แก้มยุ้ยมีสุขภาพดีก็พอ ไม่ต้องคิดมาก ให้อยู่กับครอบครัว เป็นคนดีอย่างที่เป็นอยู่แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องไปกังวลถึงการที่จะต้องได้มาซึ่งการประสบความสำเร็จที่มี ใบปริญญาเป็นเครื่องการันต์ตรี คำพูดนี้ยิ่งทำให้ ยลวิสุทธ์ ต้องมาทำหน้าที่ ลูก และหลานที่ดี เพื่อนำความสำเร็จกลับบ้าน การมาอยู่ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ยลวิสุทธ์คิดว่า หากเราไม่ได้เพื่อน อาจารย์ พี่ น้อง ดีแล้วนั้น การอยู่ที่มหาวิทยาลัยก็จะลำบาก ยิ่งเพื่อนเป็นสิ่งสำคัญ
ยลวิสุทธ์ มีเพื่อนๆ ที่ดี คือ รัตติกาล อรวรรณ ที่คอยช่วยเหลือมาตลอด ในเวลาที่
ยลวิสุทธ์ ต้องขาดเรียนเพื่อไปรับการรักษา โรคประจำตัวที่ กรุงเทพมหานคร โรงพยาบาลรามาธิบดี เพื่อนทั้งสองคนนี้ก็ จะดูแลบอกอาจารย์ให้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่อดหัวเราะไม้ได้ คือ เราทั้งสามคน มีโรคประจำตัวทุกคน ไม่มีใครแข็งแรงเลย เพื่อนๆที่จิตวิทยาก็น่ารักทุกคน เป็นเพื่อนที่ดี ยลวิสุทธ์ มีความสนุกสนานเมื่อได้มาอยู่ร่วมกับเพื่อนจิตวิทยาทุกคน ส่วนพี่ๆน่ารักคอยช่วยเหลือเราตลอดมา คือ พี่รหัส พี่ลูกน้ำ พี่ยุ้ย พี่เทคแคร์ พี่เปรียวพี่สลาก พี่ลูกน้ำคอยดูแลอย่างดี วันแรกที่ยังถอนรหัสวิชาเรียนไม่ป็นพี่ลูกน้ำก็อาสาทำให้ทำให้เรามีความผูกพันธ์ กับพี่เป็นพิเศษ คือมีความรู้สึกที่ดีให้ ต่อมา
เป็นความรู้สึกที่มีต่ออาจารย์ อาจารย์ พัฒนานุสรณ์ เป็นอาจารย์ ที่ ยลวิสุทธ์ เลือกที่จะเอาความรู้ลึกในทุกเรื่องของอาจารย์มาเป็นต้นแบบ คืออาจารย์สอนให้ดูว่า หากเราอยากจะรู้ว่าทำไมคนนี้ถึงมีลักษณะอย่างนี้เราต้องรู้ศึกษาให้ลึกในเรื่องนั้นก่อนเราถึงจะทราบในสิ่งที่เค้าเป็นได้
อาจารย์ท่านต่อมา คือ อาจารย์ เสริมเกียรติ ยลวิสุทธ์เลือกในความโอบอ้อม มีจิตใจช่วยเหลือของท่านมาเป็นแบบอย่าง คือ ท่านเกษียณอายุราชการนานแล้ว แต่ก็ยังมาให้ความรู้แก่ศิษย์จิตวิทยาอีก นี่ทำให้ ยลวิสุทธ์ คิดว่า นี่เป็น คำว่า ครู โดยแท้จริง เป็นสิ่งที่ท่านทำให้เห็น ส่วนอาจารย์ ลักขณา ทำให้ ยลวิสุทธ์ รู้จักคิดกว้างไกล นำสิ่งรอบข้างมาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับหลักการทฤษฏี เป็นอาจารย์ที่ใจเย็น อาจารย์ อารยา เป็นผู้ที่
ยลวิสุทธ์ เห็นครั้งแรกรู้สึกศรัทธา และอยากที่จะทำให้ได้เหมือนอาจารย์ คือ บุคลิกภาพที่นักจิตวิทยาควรมีรวมอยู่ในท่านอาจารย์แล้ว สายตาของท่านมองด้วยความสุขุม การย่างก้าวแต่ละครั้งสวยงาม การพูดสะกดใจผู้ฟัง แม้แต่การนั่งยังสะดุดตา ท่านสุดท้ายคือ ท่านอาจารย์ รังสรรค์ ที่รัก (โฉมยา) อิอิ ที่แนะนำเป็นคนสุดท้ายไม่ใช่ไม่สำคัญหากแต่เรียนแบบความขี้เล่นของอาจารย์เท่านั้นเอง คืออยากให้อาจารย์อ่านคนสุดท้าย อาจารย์จะได้สงสัยในตอนแรกว่า ยัยยลวิสุทธ์มันจะเขียนถึงชั้นว่าไง อาจารย์เป็นคนขี้เล่น สนุกสนานมีคำพูดที่ด่า แต่นิ่มๆ ไม่รู้หลอกด่าหรือป่าว แต่คำที่ติดปากอาจารย์ คือ ที่รัก ฟังแล้ว แหม! ชื่นใจไม่รู้ตั้งใจเรียกไหม แต่หนูก็เคลิ้มไปแล้ว อาจารย์สอนโดยความสนุกสนานไม่ซีเรียส เหมือนอาจารย์พัฒ แต่อาจารย์แทรกความรู้โดยเราไม่รู้ตัวและยังจำได้ดีอีกด้วย วงเล็บ ในเรื่องความเป็นอยู่ การใช้ชีวิตในมหาวิทยาลัยนะ แต่เรื่องการเรียนละ ยลวิสุทธ์ งงอย่างเดียวเลย อาจารย์ทุกท่านที่กล่าวมา หากแต่ทุกท่านมีความสมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน แต่ยกมาเพียงบุคลิกส่วนที่เด่นชัดของแต่ละท่านเท่านั้น หากนำทุกท่านมาเป็นต้นแบบ ความพร้อม ความสมบูรณ์แบบก็จะเกิดขึ้นอย่างหาที่เปรียบเทียบไม่ได้ หากแต่เวลาล่วงเลยไป การเป็นจิตวิทยา ปีหนึ่งเริ่มพัฒนาไปเป็น จิตวิทยาปีสองอย่างรวดเร็ว พวกเราได้รับน้องโควตาจิตวิทยา นั้นก็หมายถึงว่าที่พี่จิตวิทยาปีสอง ยลวิสุทธ์ ได้รับน้องมาดูแล คือน้องหลัน ฐาปนีย์ มานอนที่ห้อง พาไปเลี้ยงข้าวเย็น พาน้องไปไหว้เจ้าที่ สิ่งที่ ยลวิสุทธ์ สังเกตเห็นได้คือ การไม่ค่อยอยากมาเรียนที่ มหาวิทยาลัยมหาสารคามเต็มร้อย น้องติด ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่นเช่นกัน มีสิ่งหนึ่งที่ ยลวิสุทธ์ คิดได้ในตอนนั้น คือ ต้องทำให้น้องเห็นว่าจิตวิทยา ที่นี่น่าอยู่อบอุ่น วันรุ่งขึ้นก็ส่งน้องไปสัมภาษณ์ เมื่อน้องสัมภาษณ์เสร็จก็เลี้ยงข่าวเที่ยงและก็ส่งค่ารถกับไปที่ขอนแก่น ระหว่างทางได้ยินน้องพูดให้ฟังว่า ครั้งแรกไม่อยากมาเรียนที่นี่เท่าไรนัก แต่พอมาเห็นแบบนี้ อยากมาเรียนจริงๆแล้วซิ จะได้ไหมน้อ สัมภาษณ์ครั้งนี้ ทำให้
ยลวิสุทธ์ รู้สึกว่าการทำหน้าที่ดูแลน้องสำเร็จไปแล้วครึ่ง เมื่อส่งน้องชึ้นรถเสร็จ รอให้รถน้องออก เมื่อน้องหันหลังมาสวัสดี เป็นอะไรที่เกิดความภาคภูมิใจมากเมื่อมีคนมาเคารพเรา ในฐานะพี่ รถน้องออกเวลาเที่ยงตรง ยลวิสุทธ์ ก็มาเรียน กลังจากที่ส่งน้องเสร็จเมื่อเวลาบ่ายโมง มีข้อความมาว่า ขอบคุณๆๆๆสำหรับทุกอย่างนะคะ พี่ๆน่ารักกันทุกคนเลย รักจิตวิทยา รักสารคาม รักพี่สาว เมื่อได้เห็นข้อความนี้ทำให้เรารู้ว่าการดูแลน้องครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีความดีใจไหนที่จะเทียบเท่ากับการได้รับรู้ความรู้สึกที่ดีที่ผู้ที่เราให้การดูแลด้วยความรักแสดงออกมา
ยลวิสุทธ์ ถือว่ารางวัล คำชมคำนี้ เป็นรางวัลที่เป็นความภาคภูมิใจของ เราพี่น้องจิตวิทยาทุกคน
ขอบคุณทุกสิ่งที่สรรค์สร้าง ยลวิสุทธ์ ขึ้นมาเพื่อพบประสบการณ์ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยมหาสารคามแห่งนี้ ท่านอาจารย์ทุกท่าน เพื่อน ๆพี่ และอนาคตน้องๆทุกคน เป็นสิ่งที่
ยลวิสุทธ์ จะจดจำทุกเหตุการณ์ แห่งความประทับใจนี้ไว้ให้ตราตรึงตราบเท่า ความจำในจิตใจจะลบเลือนไป
ขอบคุณท่านอาจารย์ รังสรรค์ ที่มอบหมายงานที่ดีอย่างนี้มาให้คะ